นับตั้งแต่การวางมือเลิกคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของ “เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน” ก็ดูเหมือนว่าความสำเร็จจะหายไปจากถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด ตามท่านเซอร์ไปด้วย เพราะจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 10 ปีแล้วหลังการจากทีมปีศาจแดงไปของเฟอร์กูสัน ในขณะเดียวกันก็เป็น 10 ปีที่ปีศาจแดงไม่เคยได้สัมผัสถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกเลย มีแค่โทรฟีจากฟุตบอลถ้วยไม่กี่ใบเข้ามาเพิ่มในตู้โชว์ ทั้งที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีผู้จัดการทีมชื่อดังหลายคนเข้ามาคุมทีม และสโมสรยังจ่ายเงินรวมแล้วกว่า 1,500 ล้านยูโรในการซื้อนักเตะเข้ามาเสริมทัพ
ความล้มเหลวของสโมสรถูกเหล่าสาวกปีศาจแดงส่วนหนึ่งมองกันว่าเป็นเพราะความล้มเหลวในตลาดซื้อ-ขายนักเตะของสโมสร มีทั้งการตำหนิทีมว่าใช้เงินน้อยเกินไปหรือบางครั้งก็จ่ายแพงเกินไป บางครั้งเร่งรีบซื้อตัวเกินไปแต่บางครั้งก็ทำงานเพื่อดึงนักเตะที่ต้องการร่วมทีมช้าเกินไป หรือจริงๆ แล้วคือการขาดแผนงานที่ดีและเหมาะสมในการหานักฟุตบอลเข้ามาเสริมทัพ โดยต่อไปนี้คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในการซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาผ่านการใช้เงินซื้อนักเตะในช่วงเวลาของผู้จัดการทีมแต่ละคนที่รวมกันแล้วมากกว่า 1,540 ล้านยูโร
เดวิด มอยส์
เดวิด มอยส์ อดีตผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันคือ The Chosen One ที่อเล็ก เฟอร์กูสันเลือกกับมือเพื่อให้มาสืบทอดความยิ่งใหญ่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างไรก็ตามไม่ว่าด้วยชื่อชั้นของผู้จัดการทีมที่ไม่ดึงดูดนักเตะหรือการทำงานของทีมซื้อ-ขายนักเตะที่ไม่ดีพอจึงทำมีเพียง “มารูยาน เฟลไลนี” ลูกน้องเก่าของมอยส์จากทีมทอฟฟีสีน้ำเงินเท่านั้นที่มาเสริมทัพก่อนปิดตลาดซื้อ-ขายช่วงซัมเมอร์ของฤดูกาล 2013-14 ในราคา 32.4 ล้านยูโร ทั้งที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแสดงความสนใจอยากได้ทั้ง “เชส ฟาเบรกัส” และ” ทิอาโก อัลคันทารา” จากบาร์เซโลนามาร่วมทีม
อย่างไรก็ตามหลังตลาดซื้อ-ขายในเดือนมกราคมเปิดมอยส์ก็ได้กองกลางตัวรุกอย่าง “ฆวน มาต้า” จากเชลซีมาเสริมทัพอีกคนในราคา 44.7 ล้านยูโร แต่กลายเป็นว่ามอยส์มีโอกาสใช้งานนักแตะที่ตนซื้อมาได้เพียงถึงเดือนเมษายนเท่านั้นก็ถูกปลอดออกจากตำแหน่ง ทำให้ฤดูกาลแรกหลังยุคเฟอร์กี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เงินซื้อนักเตะรวมเบาะๆ 77.1 ล้านยูโร พร้อมกับจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 7 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกและไร้ถ้วยรางวัลจากฟุตบอลถ้วยรายการอื่นเข้าสู่สโมสร
หลุยส์ ฟาน กัล
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตัดสินใจดึง “หลุยส์ ฟาน กัล” กุนซือมากประสบการที่เคยผ่านการคุมสโมสรใหญ่ในยุโรปอย่างบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิค รวมทั้งทีมชาติเนเธอแลนด์มาคุมทัพในฤดูกาล 2014-15 ตัดหน้าท็อตแนม ฮอตสเปอร์ทีมร่วมพรีเมียร์ลีกที่กำลังให้ความสนใจผู้จัดการทีมชาวดัตช์ผู้นี้อยู่เหมือนกัน
หลังจากนั่งเก้าอี้ผู้จัดการทีมปีศาจแดง ฟาน กัล ก็เสริมทัพนักเตะในตำแหน่งที่ต้องการทันทีช่วงตลาดซื้อ-ขายซัมเมอร์ปี 2015 ด้วยการนำ “อังเดร แอร์เรรา” มิดฟิลด์ชาวสแปนิชมาเสริมความแน่นในแดนหลางด้วยค่าตัว 36 ล้านยูโร จากนั้นก็ตามด้วย “ดาลีย์ บลินด์” นักฟุตบอลซึ่งเติบโตขึ้นมาจากอคาเดมีของอาแจ็กและเคยผ่านการเล่นในแท็กติกของฟาน กัล มาแล้วจากทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งทีมปีศาจแดงจ่ายเงินให้กับอาแจ็กไป 17.5 ล้านยูโรสำหรับนักฟุตบอลสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งกองกลางและกองหลังรายนี้
นอกจากนี้ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ยังเสริมแนวหลังของทีมให้แน่นด้วยการนำ”ลุค ชอว์” และ “มาคัส โรโฮ” เข้ามา ซึ่งการมาของแนวหลังทั้ง 2 รายนี้ทำให้ทีมต้องจ่ายเงินให้กับต้นสังกัดเก่าของทั้งสองคนไปรวม 57.5 ล้านยูโร แต่ยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะก่อนปิดตลาด “แองเคล ดิ มาเรีย” ปีกจอมพริ้วชาวอาร์เจนไตน์ก็ย้ายจากเรอัล มาดริดเข้าร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 75 ล้านยูโร ทำให้จนถึงฤดูกาล 2014-15 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เงินซื้อนักเตะเข้ามาร่วมทีมรวมไปแล้ว 263.1 ล้านยูโร โดยที่ยังคงไม่มีถ้วยรางวัลเพิ่มเมื่อจบฤดูกาลและอยู่ในอันดับ 4 ของตารางพรีเมียร์ลีก แต่ก็อยู่ในทิศทางที่ทำให้บรรดาแฟนบอลมีความหวังว่าทีมจะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง
ช่วงซัมเมอร์ของฤดูกาล 2015-16 ผู้จัดการทีมชาวดัตช์เดินหน้าเสริมทัพต่อด้วยการดึงบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, มัตเตโอ ดาเมียน, เมมฟิส เดปาย และมอร์แกน ชไนเดอร์เลนเข้าสู่ทีม โดยจ่ายเงินไปรวม 96 ล้านยูโร พร้อมกับได้เซอร์จิโอ โรเมโอมานั่งเก้าอี้สำรองในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับดาวิด เด เคอาโดยไม่ต้องจ่ายค่าตัว และปิดท้ายการเซ็นต์สัญญาดึงนักเตะร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 ด้วยการจ่ายเงิน 60 ล้านยูโรให้กับอาแอส โมนาโกเพื่อนำอ็องตอนี มาร์ซียาล มาล่าตาข่ายให้กับทีม
ฟาน กัลพาแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดจบฤดูกาล 2015-16 ด้วยการได้แชมป์ถ้วยเอฟเอคัพ แต่อันดับในลีกกับแย่กว่าฤดูกาลก่อนหน้า เพราะร่วงไปอยู่ในอันดับที่ 5 นอกจากนี้แนวทางการเล่นฟุตบอลที่ไม่เอนเตอร์เทนถูกใจแฟนบอลจึงทำให้ฟานกัลต้องเดินจากไป ซึ่งถึงตอนนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เงินเพื่อดึงนักฟุตบอลมาร่วมทีมรวมไปแล้ว 419.1 ล้านยูโรหลังจากที่ไม่มีเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันคุมทีม
โจเช่ มูรินโญ่
การมาถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของโจเซ่ มูรินโญ่ย่อมหมายถึงการดึงนักฟุตบอลหน้าใหม่ที่เข้ากับแท็กติกของผู้จัดการทีมคนใหม่ด้วย นำมาสู่การร่วมทัพปีศาจแดงของอีริก ไบญี่จากบียาเรอัล และเฮนริก มคิตาร์เรียนจากโบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์โดยจ่ายเงินไปรวม 80 ล้านยูโร หลังจากนั้นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็กก็ดึงพอล ปอกบาจากยูเวนตุสกลับมาร่วมทีมอีกครั้งโดยจ่ายเงินไป 105 ล้านยูโร ทำให้กองกลางทีมชาติฝรั่งเศสรายนี้กลายเป็นนักฟุตบอลที่มีสถิติค่าตัวสูงที่สุดในโลกในตอนนั้น อย่างไรก็ตามมูรินโญ่ก็ได้กองหน้ามากประสบการณ์อย่างซลาตัน อิบราฮิโมวิคมาร่วมทีมฟรีๆ ไม่ต้องจ่ายค่าตัว
การคุมทีมฤดูกาลแรกของมูริโญ่ทำให้แมนเชสเตอร์สามารถจบฤดูกาลด้วยการคว้าโทรฟีแชมป์ยูโรปาลีกมาประดับตู้โชว์สโมสร แต่อันดับในตารางพรีเมียร์ลีกอยู่ที่ 6 ยังไม่เข้าใกล้การลุ้นแชมป์อีกฤดูกาล ซึ่งถึงตอนนี้สโมสรจ่ายเงินไปแล้วรวม 604.1 ล้านยูโรเเป็นค่าตัวนักเตะเข้าร่วมทีมตามความต้องการของผู้จัดการทีมแต่ละคนนับตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14 จนถึงฤดูกาล 2016-17
ฤดูกาลที่ 2 ของมูรินโญ่ในการคุมทีมปีศาจแดงมีโรเมลู ลูกากู, เนมายา มาติก และวิกตอร์ ลินเดอเลิฟเข้ามาเสริมทัพช่วงซัมเมอร์ในค่าตัวรวม 163 ล้านยูโร และเมื่อถึงช่วงเปิดตลาดซื้อขายเดือนมกราคมก็มีดีลแลกเปลี่ยนมคิตาร์เรียนกับอเลกซิส ซานเชสจากอาร์เซนอลเกิดขึ้น โดยเมื่อจบฤดูกาลนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ที่อันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่การเลิกคุมทีมของอเล็ก เฟอร์กูสัน พร้อมกับจ่ายเงินไปแล้วรวม 767.1 ล้านยูโร
ฤดูกาล 2018-19 ผู้จัดการทีมชาวโปรตุกีสหวังต่อยอดจากฤดูกาลที่แล้วเพื่อนำแชมป์ลีกกลับสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดด้วยการนำ เฟรด จากชักห์ตาร์ โดเนตเข้ามาเสริมแดนกลางในราคา 59 ล้านยูโร และนำดิเอโก ดาโลต์มายืนในตำแหน่งแบ็กขวาโดยจ่ายเงินให้กับปอร์โตไป 22 ล้านยูโร แต่ที่สุดแล้วตัวผู้จัดการทีมกลับอยู่คุมทีมได้ไม่ถึงครึ่งฤดูกาลก็ต้องแยกทางกับสโมสร ซึ่งมีโอเล กุนนาร์ โซลก์ชาร์เข้ามารับหน้าที่แทนพาทีมจบอันดับ 6 ของพรีเมียร์ลีกเมื่อจบฤดูกาล ขณะที่สโมสรจ่ายเงินไปรวม 848.1 ล้านยูโรนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา
โอเล กุนนาร์ โซลก์ชาร์
โอเล กุนนาร์ โซลชาร์เริ่มต้นฤดูกาล 2019-20 ด้วยการดึงแดเนียล เจมส์จากสวอนซีมาเสริมทัพในตำแหน่งริมเส้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 17.8 ล้านยูโร ต่อด้วยอารอน วาน บิสซากาจากคริสตัล พาลชในราคา 55 ล้านยูโรเพื่อขันเกมรับริมเส้นด้านขวา ดึงแฮรี แมกไกวร์มาจากเลสเตอร์ ซิตีด้วยค่าตัว 87 ล้านยูโรส่งผลให้เป็นกองหลังที่มีค่าตัวแพงที่สุดในโลกเพื่อทำให้แนวรับตรงกลางแน่นขึ้น
เมื่อถึงเดือนมกราคมยูไนเต็ดได้บรูโน แฟร์นานเดสจากสปอร์ติง ลิสบอนในราคา 67 ล้านยูโรมาปั้นเกมรุกในแดนกลาง ทำให้ทีมอยู่ในอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีกเมื่อจบฤดูกาล ได้กลับไปเล่นยูฟาแชมเปียนลีกอีกครั้งในฤดูกาลหน้า ส่วนยอดการจ่ายเงินซื้อนักเตะเข้าร่วมทีมตอนนี้สะสมไปถึง 1,075 ล้านยูโรแล้วนับตั้งแต่ปี 2013
พอถึงฤดูกาล 2020-21 โซลชาร์ผู้ปลุกความหวังสาวกปีศาจแดงได้ “ดอนนี ฟาน เดอ บีก” จากอาแจ็กมาร่วมทัพพร้อมกับ “ฟาคันโด เพลลิสทรี” ปีกดาวรุ่งชาวอุรุกวัยในราคารวม 39 ล้านยูโร โดยที่มี “อเล็ก เตเลส” เข้ามาเสริมในตำแหน่งฟูลแบ็กด้วยราคา 15 ล้านยูโร และมี “อาหมัด ดิอาโล” เข้ามาร่วมทีมในราคา 21.3 ล้านยูโรในช่วงหลังเปิดตลาดซื้อ-ขายเดือนมากราคม 2021 ขณะที่ศูนย์หน้ามากประสบการณ์ “เอดินสัน คาวานี” เข้ามาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว
ด้วยฝีมือการคุมทีมของโซลชาร์ทำให้ยูไนเต็ดจบฤดูกาลที่อันดับ 2 ของตารางคะแนน อันดับดีขึ้นกว่าฤดูกาลก่อนหน้า แต่ยังไร้ถ้วยรางวัลกลับเข้าสู่สโมสร พร้อมกับมียอดซื้อนักเตะสะสมไป 1,160 ล้านยูโรหลังยุคอเล็ก เฟอร์กูสัน
พอช่วงฤดูร้อนปี 2021 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ปีกชาวอังกฤษ “เจดอน ซานโช” ที่โชว์ฟอร์มดีกับโบรุสเซีย ดอร์ตมุนต์ในบุนเดสลีกาเข้ามาร่วมทีมด้วยราคา 85 ล้านยูโรหลังจากที่พยายามดึงตัวเข้ามาร่วมทีมตั้งแต่ฤดูกาลก่อนหน้า ต่อด้วย “ราฟาเอล วาราน” กองหลังจากเรอัล มาดริดในราคา 40 ล้านยูโร รวมทั้งยังดึงนักเตะซูเปอร์สตาร์ “คริสเตียโน โรนัลโด” กลับเข้ามาร่วมทีมอีกครั้งโดยจ่ายเงินให้ยูเวนตุสไป 17 ล้านยูโร
อย่างไรก็ตามการซื้อสมาชิกใหม่เข้าร่วมทีมในฤดูกาลนี้ของยูไนเต็ดดูเหมือนจะไม่ได้มาจากการนำของผู้จัดการทีมเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนมีนาคมทางสโมสรได้มีการตั้ง “จอห์น เมอร์ทอกห์” เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยกรฟุตบอลเป็นครั้งแรก ซึ่งนำมาสู่การวิจารณ์ในเรื่องข้อผิดพลาดการเซ็นต์สัญญานักฟุตบอลเข้าร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินจำนวนมากไปกับนักเตะดัง หรือการไม่ได้นักเตะรายที่ต้องการ
ด้วยฟอร์มที่ย่ำแย่ของทีมเมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน โซลชาร์ก็ลงจากเก้าอี้ผู้จัดการทีม โดยที่มี “ราล์ฟ รังนิก” มาทำหน้าที่ชั่วคราว ซึ่งไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะเป็นอีกครั้งที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ได้อยู่ในอันดับที่จะไปเล่นฟุตบอลถ้วยใบใหญ่ของยุโรปในฤดูกาลหน้าเพราะอยู่ในอันดับ 6 ของลีก ส่วนเงินที่ใช้ซื้อบรรดานักเตะมาร่วมทีมตั้งแต่ปี 2013 ตอนนี้มียอดสะสมไปถึง 1,300 ล้านยูโรแล้ว
อีริก เทน ฮาก
การมาของอีริก เทน ฮากไม่ต่างกับผู้จัดการทีมรายอื่นที่ต้องการนักฟุตบอลเข้ากับแท็กติกของตัวเอง จึงเริ่มด้วยการดึงคริสเตียน อีริกเซนที่หมดสัญญากับเบรนต์ฟอร์ดมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัว และตามมาด้วยการจ่ายเงิน 152 ล้านยูโรเพื่อดึง “ลิซานโดร มาร์ติเนซ” และ “แอนโทนี” ลูกน้องเก่าจากอาแจ็กมาร่วมทีม นอกจากนี้ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ยังมองว่าแบ็กซ้ายเป็นจุดอ่อนของทีมจึงเซ็นสัญญานำ “ไทเรล มาลาเซีย” จากเฟย์ยูนูดมาร่วมทีมอีกคนด้วยค่าตัว 15 ล้านยูโร
การนำนักเตะหน้าใหม่มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ 2022 ดูเหมือนจะจบแค่นั้น แต่หลังบรรดาลูกทีมทำผลงานย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล เทน ฮากจึงต้องนำเข้า “คาเซมิโร” กองกลางมากประสบการณ์จากเรอัล มาดริดมาช่วยตัดเกมหน้าแผงหลังด้วยค่าตัว 70.6 ล้านยูโร ช่วยให้ฤดูกาลที่แล้วแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้พร้อมกับจบฤดูกาลที่อันดับ 3 ของลีกกลับไปเล่นฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่ของยุโรปอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา
เมื่อรวมจำนวนเงินที่ดึงนักฟุตบอลเข้ามาร่วมทีมในช่วงปี 2013 ถึง 2022 มียอดรวมถึง 1,540 ล้านยูโร แต่อย่างไรก็ตาม 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีฤดูกาลใดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็มอยู่ตำแหน่งทำให้บรรดาแฟนบอลของตนได้ลุ้นแชมป์ลีกร่วมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี, ลิเวอร์พูล หรืออาร์เซนอลสักฤดูกาล