แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดรายงานผลประกอบการจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน พบมีการขาดทุนสุทธิ 113.2 ล้านปอนด์ และถือเป็นการขาดทุนเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว โดยตามหลังการขาดทุน 28.7 ล้านปอนด์ในปี 2022-23 และ 115.5 ล้านปอนด์ในปี 2021-22 และตัวเลขล่าสุด ทำให้ทีมขาดทุนทั้งหมดในช่วงห้าปีที่ผ่านมาอยู่ที่มากกว่า 370 ล้านปอนด์ แต่ยังโชคดีที่ทีมไม่ได้ละเมิดกฎกำไรและความยั่งยืนของพรีเมียร์ลีก เนื่องจากการใช้จ่ายไม่ได้ขัดต่อการคำนวณของพวกเขา และสโมสรสามารถขอเงินช่วยเหลือที่เรียกว่า ‘add backs’ ได้
ภายใต้กฎของพรีเมียร์ลีก สโมสรไม่สามารถขาดทุนเกิน 105 ล้านปอนด์ในช่วงสามปี และเอฟเวอร์ตันและน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ได้รับการหักคะแนนเนื่องจากละเมิดกฎ
“สโมสรยังคงมุ่งมั่นและปฏิบัติตามทั้งกฎผลกำไรและความยั่งยืนของพรีเมียร์ลีกและกฎการเงินที่ยุติธรรมของยูฟ่า” โอมาร์ เบอร์ราดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของยูไนเต็ดกล่าว
ตัวเลขทางการเงินใหม่ของยูไนเต็ดครอบคลุมช่วงเวลาที่พวกเขาจบอันดับที่แปดในพรีเมียร์ลีกและจบอันดับสุดท้ายในกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก แต่สามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพมาได้ โดยฤดูกาลที่แล้ว เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษซื้อหุ้น 27.7% ในสโมสร และเซอร์เดฟ เบรลส์ฟอร์ด กรรมการของยูไนเต็ดได้ดำเนินการตรวจสอบการดำเนินงานของสโมสรนับตั้งแต่ที่ Ineos ยืนยันการเป็นเจ้าของร่วมของสโมสรในเดือนธันวาคม
ในเดือนกรกฎาคม มีการประกาศว่ายูไนเต็ดจะเลิกจ้างพนักงาน 250 คนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลดต้นทุน โดยสโมสรกล่าวว่าคาดว่าจะประหยัดเงินได้ระหว่าง 30 ล้านปอนด์ถึง 35 ล้านปอนด์ในระยะเวลาสองปีตั้งแต่ปี 2025 เนื่องมาจาก ‘การตรวจสอบต้นทุนของสโมสรทั้งหมด’
นอกจากหนี้สินระยะยาวมูลค่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (496.52 ล้านปอนด์) แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ดยังมี “ยอดกู้ยืมรวม” มูลค่า 35.6 ล้านปอนด์ และยอดคงค้างของสินเชื่อหมุนเวียน ณ วันที่ 30 มิถุนายนอยู่ที่ 30 ล้านปอนด์